วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ความรู้สึกผ่านตัวอักษร

เขียนโดย Unknown ที่ 02:34 0 ความคิดเห็น
สวัสดีคะ วันนี้นัทจะมาพูดเกี่ยวกับความรู้สึกผ่านตัวอักษรกันคะ  (ต้องขอเกริ่นก่อนนะคะ ว่าไม่ได้เกี่ยวกับนิยายหรือว่าบทความอะไรคะ)  แต่มันคือความรู้สึกของนัทเองกับเพื่อนๆ ทางโลกออนไลน์

ในยุคสมัยนี้ เราต้องยอมรับว่าโลกของอินเตอร์เน็ตมันสำคัญกับมนุษย์เราไม่ใช่น้อยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการหาข้อมูลข่าวสาร  หรือการส่งจดหมายอย่างรวดเร็วทันใจให้กับเพื่อนต่างแดนคะ หรือแม้กระทั้งต้องการจะซื้อของ เราก็สามารถสั่งซื้อกันทางอินเตอร์เน็ตได้แล้วเช่นกันคะ

แต่เรื่องที่จะกล่าวนี้คือ การได้เพื่อนใหม่บนโลกอินเตอร์เน็ตคะ  เดี๋ยวนี้จะมีหลายๆเว็บไซต์นะคะ ที่สามารถหาเพื่อน หรือหาแฟนคะ คุยกันผ่านบล๊อก ได้คะ  



เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าคะ คือนัทได้เข้าไปเล่นเว็บไซต์นึงคะ ยอมรับว่าแรกๆ ติดมาก ต้องเข้าทุกวัน เวลาว่างก็จะต้องเข้าไปคะ และเว็บไซต์นี้ก็ทำให้เราได้เพื่อนสาว ดีๆ มาหลายคนคะ ไม่ใช่เป็นแค่เพื่อนทางอินเตอร์เน็ตอย่างเดียวนะคะ  แต่เรามีการนัดเจอปาร์ตี้กัน ปรึกษาปัญหากันคะ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็ ก็จะคอยช่วยกันให้คำแนะนำกันตลอดคะ 

ถามว่าทำไมถึงได้มาเป็นเพื่อนกันได้นะเหรอคะ  นัทก็จะขอตอบว่า ก็เพราะตัวอักษรของบรรดาเพื่อนสาวๆ เนี้ยแหละคะ เวลาเขาพิมพ์ หรือเขาบรรยาย เรื่องส่วนตัวของเขาผ่านเว็บไซต์ พออ่านแล้วมีความรู้สึกว่าเขา เป็นคนที่น่าคบหา นั้นแหละคะ มันเลยทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการที่ต้องการจะทำความรู้จักกันให้มากขึ้นคะ  

แต่ก็ยังมีหลายๆ คนนะคะ ที่นัทอ่านเรื่องของสาวๆ ในเว็บไซต์ แต่ยังไม่เคยเจอตัวกัน แต่ก็มีความรู้สึกว่าชอบเขา อยากเป็นเพื่อนกับเขาคะ เพราะเวลาอ่านเรื่องราวของเขาเวลาที่เขาบรรยาย คำพูด หรือตัวอักษรที่เขาใช้ มันอ่านแล้วมีความรู้สึกอบอุ่นคะ รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนของเขาคะ  ถามว่าเสียใจไหมที่ไม่สามารถทำความรู้จักกันมากกว่าคำว่าเป็นเพื่อนออนไลน์ ตอบเลยว่า ใช่คะ แต่ในเมื่อสถานการณ์มันไม่อำนวยให้เราสามารถติดต่อ นัดเจอกันมากกว่าคำว่าเพื่อนออนไลน์  ก็ไม่เป็นไรคะ  ขอให้แค่ได้อ่านเรื่องราวของเขา การสื่อสารทางตัวอักษรที่นุ่มนวล มันก็โอเคแล้วคะ

ตัวอักษรสามารถทำให้มีคนรัก และคนเกลียดได้คะ คุณต้องรู้จักที่จะใช้มันคะ ^ ^

วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2557

OEM ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

เขียนโดย Unknown ที่ 00:55 0 ความคิดเห็น


วันนี้เรามาทำความรู้จักการทำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นแบรนด์ของตัวเองกันคะ

เมื่อเราพูดถึง OEM ยังมีหลายๆ คนยังไม่ทราบนะคะ ว่ามันคืออะไร  ( มาดูกันคะว่ามันคืออะไร )

OEM ย่อมาจาก Origianl Equipment Manufacturer หมายถึงการรับจ้างผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ต่าง ๆ ตามแบบที่ลูกค้ากำหนด โดยใช้การผลิตของโรงงานผลิตที่ได้มาตรฐานจีเอ็มพี (GMP) และทางโรงงานนั้นๆ จะมีการดำเนินการให้ทุกอย่างตั้งแต่ การยื่นจดทะเบียน อย. รวมไปถึงการทำ Package โดยที่ลูกค้าไม่ต้องยุ่งเรื่องการผลิตเลย เมื่อผลิตภัณฑ์เสร็จ ลูกค้าก็สามารถมารับสินค้า พร้อมไปทำการตลาดได้เลยคะ

การทำ OEM นั้นไม่ยุ่งยากอะไรคะ มันเลยทำให้มีการทำอาหารเสริมออกมาเป็นจำนวนมากมาย หลายหลาก ให้เราเลือกสรร กันมารับประทานคะ  แต่ก็ต้องขอเตือนเพื่อนๆ ที่ชอบรับประทานอาหารเสริมนะคะ ว่าเดี๋ยวนี้ มีการทำอาหารเสริมที่ไม่ถูกต้องโดยเอาเลข อย. ของบริษัทที่ขอ อย.อย่างถูกต้องเอาไปสวม และทำการขายกันมากมายตามท้องตลาดคะ 

เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องมีการตรวจเช็คให้ดี ก่อนที่จะซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมารับประทานคะ ^ ^


วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

English for Dental Clinic staff

เขียนโดย Unknown ที่ 18:28 0 ความคิดเห็น

English for Dental Clinic staff

ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานคลินิกทำฟัน



At the reception - ณ แผนกต้อนรับ

can I make an appointment to see the ...?
ฉันสามารถนัดหมอฟันได้ไหม?

dentist หมอฟัน/ ทันตแพทย์

hygienist ทันตภิบาล (เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดฟัน)

I'd like a check-up ฉันต้องการตรวจฟัน

please take a seat กรุณานั่งลง

would you like to come through? กรุณาเชิญทางนี้

Having your teeth examined - ตรวจเช็คฟันของคุณ

when did you last visit the dentist? คุณพบหมอฟันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?

have you had any problems? คุณมีปัญหาอะไรบ้างไหม?

I've got toothache ฉันปวดฟัน

one of my fillings has come out สิ่งที่อุดฟันไว้มันหลุดออกไป

I've chipped a tooth ฉันฟันบิ่น

I'd like a clean and polish, please ฉันอยากจะขูดหินปูนและขัดฟั

can you open your mouth, please? กรุณาอ้าปากหน่อยได้ไหม?

a little wider, please อ้าปากกว้างอีกนิด

I'm going to give you an x-ray ฉันจะทำการเอ็กซเรย์ให้คุณ

you've got a bit of decay in this one ฟันซี่นี้ของคุณผุนิดหน่อย

you've got an abscess ฟันคุณมีถุงหนอง

Dental treatment - การรักษาเกี่ยวกับฟัน

you need two fillings คุณต้องอุดฟันสองซี่

I'm going to have to take this tooth out ฉันจะถอนฟันให้คุณ

do you want to have a crown fitted? คุณต้องใส่ครอบฟันไหม?

I'm going to give you an injection ฉันจะฉีดยาให้คุณ

let me know if you feel any pain บอกฉันถ้าคุณรู้สึกเจ็บ

would you like to rinse your mouth out? คุณอยากจะบ้วนปากไหม?

you should make an appointment with the hygienist 
คุณควรจะนัด ทันตภิบาล เพื่อขูดหินปูน

how much will it cost? ราคาเท่าไหร่?


Credit : อาจารย์คริส เชียงใหม่

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557

รอยสัก......

เขียนโดย Unknown ที่ 19:11 0 ความคิดเห็น


เมื่อไม่นานมานี้ได้มีโอกาสพาว่าที่สามีนามว่าไมเคิลไปสักยันต์คะ  
อันนี้ต้องขอบอกตรงๆว่าเป็นคนชอบลายสักนะคะไม่ว่าจะแบบแฟชั่น หรือว่าสักยันต์ของไทยเราคะ
ตอนนี้ก็มีลายสักแฟชั่น 1 ลายแล้วคะ บนร่างกายของตัวเอง ไม่ใหญ่มากคะ เพราะกลัวเจ็บ ฮ่าๆ
เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าคะ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2557 ได้พาฝรั่งฮีนามว่า ไมเคิล ไปสักยันต์มาคะ
ฮีหลงไหลในการสักคะ และอยากสักยันต์แบบมีครู ของไทยเราแบบนี้มานานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาศ
และเมื่อโชคชะตาบันดาลให้เราสองคนเจอกัน คริ คริ ฮีก็ถามเรื่องสักยันต์ 
นัทเองเลยแนะนำว่ามีทีนึง เพราะน้องในออฟฟิสเคยไปสักมาแล้วคะ 
เราสองคนเหมาแท็กซี่คนสนิทไปคะ 1,500 บาท เลี้ยงข้าว และเบียร์พร้อมคร๊าาา แต่ก็ต้องรอนานอยู่เหมือนกันคะ
เพราะพอไปถึง ไมเคิลเห็นลายต่างๆ ที่เขามีร่างไว้ ฮีแกเลยอยากสักหลายลายคะ
สรุปก็ได้ 4 ลายคะ
ลายแรก  ห้ายอดคะ    299 บาท  ( ลายแรกนะคะ ฮีแกไม่สะดุ้งสะเทือนคะ )
ลายที่สอง  ห้าแถวคะ    499 บาท  ( ลายที่สอง นั่งสบายๆๆๆ คร๊าาา )
ลายที่สาม  มงคลครอบจักรวาลคะ    999 บาท  ( ลายที่สาม เริ่มมีการบ่นว่าเมื่อยคะ และบิดไปบิดมา ฮิฮิ )
ลายที่สี่  พ่อฤาษีอาจารย์ครูคะ    599 บาท  ( จุดไคแม็กอยู่ที่ลายสุดท้ายเนี้ยแระคะ ฮีบ่นตลอด ว่าเจ็บๆๆ )
แต่สุดท้ายๆๆ ก็ผ่านไปได้ด้วยดีคะ 
การที่เราจะสักยันต์มีครูแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเรานึกอยากจะสักก็สักนะคะ  
การสักยันต์แบบนี้มีข้อห้ามต่างๆ คะ 
เดี๋ยวเรามาดูกันคะ ว่ามีข้อห้ามอะไรบ้าง
1. ห้ามด่าทอพ่อแม่
2. ห้ามลบลู่ครูบาอาจารย์
3. ห้ามโกหก
4. ห้ามลักขโมย
5. ห้ามประพฤติในกาม
6. ห้ามทำร้ายสัตว์
7. ห้ามดื่มสุราหรือของมึนเมา
พอสักเสร็จ ก็รอ ไหว้ครูลงของพร้อมกับน้องผู้ชายวัยรุ่นอีกคนนึง ซึ่งน้องเขามาหลังไมเคิลคะ 
พอถึงเวลาไหว้ครูลงของ เนี้ยสิคะ ไม่รุ้จะบรรยายยังไง คือนัทเองไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องตลกหรือว่าอะไรนะคะ 
แต่มันอดขำไม่ได้จริง เรื่องของเรื่องก็คือ อาจารย์นันท์ที่เป็นคนทำพิธี แกบอกให้นัทนำไมเคิลสวด "นโม ตัสสะ ภะคะวะโต ฯลฯ " ด้วยความที่ไมเคิลเป็นฝรั่ง เขาก็พูดไทยไม่ได้ เขาก็พยายามสวดตาม และน้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากปากของเขาเนี้ยแระคะ ที่มันทำให้นัท กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
อาจารย์นันท์แกเห็นคงอดไม่ไหว เลยต้องเป็นคนนำเอง 
สุดท้ายนี้ นัทก็ต้องขอกราบขอโทษอาจารย์ครูทั้งหลายที่หัวเราะตอนนั้นด้วยเถอะนะคะ หนูไม่ได้มีความประสงค์จะลบลู่แต่อย่างใดเจ้าคะ

.............................

ความเชื่อกับการดูดวง

เขียนโดย Unknown ที่ 18:53 0 ความคิดเห็น


วันนี้อยากจะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับหมอดูให้เพื่อนๆ ที่นี้อ่านคะ
ตรงนี้ต้องขอบอกก่อนนะคะ ว่าเป็นคนชอบดูหมอคะ  เรื่องที่จะเล่านี้มันนานมามากแล้ว  
     เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่นัทจะกลับมาใช้ชีวิตกรุงเทพฯ อีกครั้ง นัทเองได้ไปเที่ยวและสัมมนากับเพื่อนๆ ชาวพัทลุง  แถวสุพรรณบุรี  และทางสัมมนาได้แวะพาทำบุญด้วยคะ เราได้แวะทำบุญที่วัดทับกระดานกัน  เป็นที่รุ้กันว่าที่วัดทับกระดาน  คือวัดที่คุณแม่พุ่มพวงอยู่นั้นเอง เมื่อได้มีโอกาสมา ดิฉันก็เลยบนกับคุณแม่พุ่งพวงคะ หลังจากบนเสร็จแล้ว พวกเราก็เดินทางกลับพัทลุงกัน 
     พอกลับไปพัทลุงไม่นาน ดิฉันก็หย่ากับสามี และเดินทางเข้ากรุงเทพฯ คะ  เริ่มต้นชีวิตใหม่ และหางานทำ  ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา นัทเองก็ดูดวงทุกปี ปีนึงไม่ใช่แค่หนเดียวนะคะ ไหนจะตามเว็ปไซต์ก็เข้าไปอ่านคะ เป็นคนชอบดูดวงจริงๆคะ แต่ก็ไม่ถึงกับจะบ้าตามหมอดู ที่หลอกคนให้จ่ายเงินมากมายเพื่อทำนุ้นนี่นะคะ
     ไปดูดวงแต่ละที่หมอดูก็จะทักตลอด ว่านัทไปบน อะไรไว้ ทำไมไม่ไปแก้  นัทก็บอกว่า "ไม่มีนะคะ หนูไม่ได้บนที่ไหนนะคะ  มีก็บนที่หลวงพ่อโสธร  แต่ไม่สำเร็จนะคะ"   เป็นอย่างนี้ตลอด 3 ปีคะ หมอดูเหมือนจะทุกหมอดูทักตลอดคะ  
พอเมื่อปีที่แล้ว นัทไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่กาฬสินธ์ุ  เพื่อนก็เลยถือโอกาสพากันไปดูดวง เพราะนางก็ชอบดูดวงเหมือนกันคะ  วันนั้นเราไปกัน 3 สาว  พอไปถึงที่หมอดู โอโห้ บ้านหมอดูใหญ่โตมากกกก ดิฉันคิดเลยว่าสงสัยจะแพงคะ  แต่ไปถึง ไม่เลยคะ เห็นมีเด็กนักเรียน ม.ปลาย กำลังนั่งดูกันอยู่
สักพักก็มีผู้หญิงออกมาต้อนรับ แล้วแนะนำให้พวกเราต้องทำอะไรบ้าง  เธอบอกให้พวกเรานำเงินไปใส่พานดอกไม้ธูปเทียน คนละ 100 บาท  
พอพึงคิวนัท  หมอดูคนนี้จะไม่พูดเรื่องดีเยอะคะ ถ้าดีก็คือดี ส่วนใหญ่แกจะทักเรื่องที่ไม่ดีของเรา และบอกให้เราไปแก้กรรมนั้น  แกมองวันเดือนปีเกิดนัท แล้วแกก็บอกนุ้นนี่นั้นดีทุกอย่างแล้วไม่ต้องดูเยอะ  แต่มีอย่างนึงที่หมอดูท่านทักมาคะ ว่า "เราไปบนอะไรไว้ ทำไมไม่ไปแก้"  แบบเดิมคะ นัทก็พูดตามเดิม "ไม่นะคะ ไม่ได้บนอะไรไว้คะ ที่บนๆ มาก็ไม่เคยสำเร็จนะคะ"  สักพักท่านก็ก้มมองลงไปในขันที่มีน้ำมนต์ของท่านแล้วพูดว่า " ไม่บนได้ไง ก็ฉันเห็นเป็นหน้าพุ่มพวงอยู่เนี้ย"  เท่านั้นแระคะ นัทพึงบางอ้อคะ นัทไปบนที่คุณแม่พุ่มพวงจริงๆ เมื่อ 3 ปีก่อน และยังไม่ไปแก้  ดูสิคะ เพื่อนๆ ลืมได้ไงตั้ง 3 ปี
สรุปแล้วที่หมอดูคนก่อนๆๆ ทักเรื่องไปบนมาคือจริงคะ  แต่ก็ไม่มีหมอดูคนไหนที่จะระบุคนหรือสถานที่เราบนไว้ได้เหมือนกับหมอดูท่านนี้คะ
และนัทก็ได้แก้บนแล้วเมื่อวันที่  1 พฤษภาคม นั้นก็คือวันแรงงานแห่งชาติของเรานี้เองคะ
ตอนนี้ก็รุ้สึกสบายใจขึ้น  ที่เราได้แก้บนแล้ว  และอยากจะกราบขอโทษคุณแม่พุ่มพวง ไว้ตรงนี้คะ ว่าลูกขอโทษจริงๆ ที่แก้บนช้า  มันเป็นเพราะความลืมของลูกเองคะ 
.............................................................................................................................................................

อย่าวัดคนที่การศึกษา.....

เขียนโดย Unknown ที่ 02:36 0 ความคิดเห็น


เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เป็นชาวสงขลา เรียนเก่งมาก ได้ทุนไปเรียนอเมริกาตั้งแต่เด็กจนจบด็อกเตอร์ จึงกลับมาเยี่ยมบ้าน
บ้านของเด็กหนุ่ม อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบสงขลา ต้องนั่งเรือแจวข้ามไป ใช้เวลาแจวประมาณหนึ่งชั่วโมง


“เรือที่ติดเครื่องยนต์ไม่มีเหรอ ลุง? ”
“ไม่มีหรอกหลาน ที่นี่มันบ้านนอก มันห่างไกลความเจริญมีแต่เรือแจว”
“โอ...ล้าสมัยมากเลยนะลุง โบราณมาก ที่อเมริกาเขาใช้เครื่องบินกันแล้วลุง ลุงยังมานั่งแจวเรืออยู่อีก ไปส่งผมฝั่งโน้น เอาเท่าไหร่ลุง?”
“80 บาท”
“OK…ไปเลยลุง”


ในขณะที่ลุงแจวเรือ หนุ่มนักเรียนนอกก็เล่าเรื่องความทันสมัย ความก้าวหน้า ความศิวิไลช์ ของอเมริกาให้ลุงฟัง

“เมืองไทย...เมื่อเทียบกับอเมริกาแล้วล้าสมัยมาก ไม่รู้คนไทยอยู่กันได้ยังไง? ทำไมไม่พัฒนา ทำไมไม่ทำตามเขาเลียนแบบเขาให้ทัน? ลุง...ลุงใช้คอมพิวเตอร์ ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นไหม? ”
“ลุงไม่รู้หรอก...ใช้ไม่เป็น”
“โอโฮ้...ลุงไม่รู้เรื่องนี้น่ะ ชีวิตลุงหายไปแล้ว 25%”
“แล้วลุงรู้ไหมว่า เศรษฐกิจของโลกตอนนี้เป็นยังไง? ”
“ลุงไม่รู้หรอก”
“ลุงไม่รู้เรื่องนี้นะ ชีวิตของลุงหายไป 50%”
“ลุง...ลุงรู้เรื่องนโยบายการค้าโลกไหมลุง? ”
“ลุง...ลุงรู้เรื่องดาวเทียมไหมลุง? ”
“ลุงไม่รู้หรอก...หลานเอ๊ย”
“ชีวิตของลุง ลุงรู้อยู่อย่างเดียวว่าจะทำยังไงถึงจะแจวเรือให้ถึงฝั่งโน้น ถ้าลุงไม่รู้เรื่องนี้ ชีวิตของลุงหายไปแล้ว 75%”


พอดีช่วงนั้นเกิดลมพายุพัดมาอย่างแรง คลื่นลูกใหญ่มาก ท้องฟ้ามืดครึ้ม

“นี่พ่อหนุ่มเรียนหนังสือมาเยอะจบดอกเตอร์จากต่างประเทศ ลุงอยากถามอะไรสักหน่อยได้ไหม? ”
“ได้...จะถามอะไรหรือลุง? ”
“เอ็งว่ายน้ำเป็นไหม? ”
“ไม่เป็นจ๊ะ...ลุง”
“ชีวิตของเอ็งกำลังจะหายไป 100% แล้วพ่อหน่ม“


อย่าคิดว่าตัวเราเหนือกว่าคนอื่นเพียงแค่มีการศึกษาสูง ยังมี


ประสบการณ์ชีวิตที่ต้องศึกษาอีกมาก แม้จะไม่มีใบประกาศมอบให้

เครดิต : เพจ คนอยากรวย

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ประวัติแหวนแต่งงาน

เขียนโดย Unknown ที่ 20:08 0 ความคิดเห็น


นัก มานุษยวิทยาเชื่อว่าประเพณีการแลกแหวนแต่งงานเกิดขึ้นราว 2,800 ปีก่อนคริสตกาล เพราะชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าเส้นเลือดจากนิ้วนางข้างซ้ายเป็นเส้นเลือดที่ แล่นตรงเข้าสู่หัวใจ จึงเลือกที่จะสวมแหวนที่นิ้วนี้โดยเฉพาะ  ในระยะแรกแหวนที่ใช้ก็เป็นวัสดุทรงกลมธรรมดาที่ทำจากหญ้าถัก ป่านถัก หรือไม่ก็เป็นขนหางม้าถัก ซึ่งเข้าใจว่าคู่สมรสจะสวมติดนิ้วไปจนกระทั่งเสื่อมสลาย จึงเปลี่ยนวงใหม่    
มี เพียงชาวอียิปต์โบราณเท่านั้นที่สามารถใช้แหวนทองคำเกลี้ยงได้ ซึ่งในยุคนั้นใช้แทนเงินได้ และยังเป็นเครื่องแสดงถึงความร่ำรวย รวมทั้งสถานะทางสังคมของบ่าวสาวอีกด้วย  จนกระทั่งปีค.ศ. 1477 แหวนเพชรจึงกลายเป็นแหวนแต่งงานยอดนิยม เมื่ออาร์ชดยุคเม็คมิลแลนแห่งเยอรมัน มอบแหวนหมั้นเพชรแดคู่หมั้น-แมรี่แห่งแคว้นเบอร์กันดี

คงไม่มีเครื่องประดับชิ้นไหน ที่ให้ความรู้สึกผูกพันและมีความสำคัญเท่ากับ "แหวนแต่งงาน" แหวนทรงกลมอันเล็กๆ ที่มักพบเห็นได้บริเวณนิ้วนางข้างซ้ายและอยู่ติดตัวคุณทุกวันทุกเวลา ซึ่งนั่นหมายถึงสัญลักษณ์ของความรักที่เป็นส่วนหนึ่งของพิธีแต่งงาน ดังนั้น คุณจึงต้องการ "แหวนแต่งงาน" ที่ทำให้คุณรู้สึกว่ามันมีค่า รวมถึงสะท้อนให้เห็นถึงมีบุคลิค รสนิยม และความเป็นตัวของคุณเองด้วย 
ที่ สำคัญการเลือกแหวนแต่งงานควรเลือกจากความรู้สึก อย่าเลือกตามความคิดเห็นของผู้อื่น ถ้ารู้สึกว่าชอบแบบนี้และมีความสุขถ้าจะใส่ติดนิ้วไปตลอดชีวิตวงนั้น แหละ...ใช่เลย

สำหรับ สิ่งที่คุณต้องคำนึงถึงอันดับแรกในการเลือกแหวนแต่งงาน คือ ตัวโลหะที่เป็นแหวน ซึ่งมีทั้งแบบเป็นทองคำสีเหลืองอร่ามและแบบที่เป็นทองคำขาว หรืออาจจะประกอบไปด้วยทองคำทั้งสองสีในหนึ่งวงก็ได้ แต่ทางที่ดีควรจะเลือกสีทองคำที่เหมาะกับสีผิว และความชอบของตัวคุณเอง 
สำหรับ ผู้ชายส่วนใหญ่แล้ว แหวนแต่งงานแทบจะเป็นเครื่องประดับชิ้นเดียวที่เขาสวมใส่นอกจากนาฬิกาข้อมือ เพราะฉะนั้นจึงควรพิถีพิถันในการเลือกรูปแบบ และถึงแม้ว่าแหวนแต่งงานส่วนใหญ่ มักจะมีขนาดค่อนข้างเล็ก แต่ก็สามารถสอดแทรกดีไซน์หลากหลายตามแต่ความชอบ อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณตัดสินใจซื้อแหวนแต่งงาน อย่าลืมเลือกดีไซน์ที่เหมาะกับมือของคุณ เช่น


-  แหวนที่หน้าแคบมากๆ ไม่เหมาะกับมือที่กว้างและใหญ่ เพราะจะทำให้มองแหวนไม่ค่อยเห็น
-  ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบแหวนที่มีหน้ากว้างแต่เป็นคนที่มีนิ้วกว้างหรือใหญ่ ก็ควรจะเลือกแหวนที่มีขอบมน 
-  แหวนที่มีลักษณะแบนเรียบ หน้าตัด จะดูสวยกว่าบนนิ้วที่เรียวยาว 
-  แหวนที่มีดีไซน์มีช่องโปร่ง จะให้ความรู้สึกบางเบา เหมาะบนมือที่กว้าง
-  แหวนที่มีเพชรหรือพลอยเม็ดใหญ่ ก็เหมาะกับมือที่มีขนาดใหญ่เช่นกัน 
-  สำหรับคนที่มีมือที่เล็กและผอมบางจะเหมาะกับแหวนที่มีเพชร หรือพลอยประดับเม็ดเล็กๆ หลายๆ เม็ด

Credit : TKGOLDS

BULATS TEST

เขียนโดย Unknown ที่ 19:52 0 ความคิดเห็น


ก่อนต้องขอบอกก่อนนะคะว่าใครจะยื่นวีซ่าติดตามสามีประเทศอังกฤษโดยการยื่นผลการสอบ Bulats A1 จะยกเลิก วันที่ 30 มิถุนายน และจะเปลี่ยนเป็นระบบสอบแบบ Ket A2 คะ เพราะฉะนั้นเพื่อนๆ ท่านต้องการจะทำวีซ่าประเทศอังกฤษต้องรีบไปสอบก่อนนะคะ

  • BULATS คืออะไร ?
BULATS ย่อมาจาก Business Language Testing Service ศูนย์ทดสอบภาษาอังกฤษธุรกิจ มีบริการข้อสอบ ถึง 4 ภาษาคือ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และสเปนการสอบด้วยคอมพิวเตอร์ระบบปรับเปลี่ยนคำถามด้วยตัวเองนี้ จะประกอบไปด้วยคำถามของทักษะด้านการฟังและการอ่าน รวมทั้งความรู้ด้านภาษาอังกฤษทั่วไป ส่วนทักษะด้านการเขียนและการพูดจะแยกสอบต่างหาก

  • ความถูกต้องแม่นยำของ BULATS Test คืออะไร?
หัวใจสำคัญของ BULATS มีสองประการ คือ ความถูกต้อง และความน่าเชื่อถือ
ความถูกต้องจะสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ของการสอบ เช่น การสอบสามารถบ่งชี้ถึงความสามารถของผู้เข้าสอบหรือไม่  การทำข้อสอบได้หมายถึงความสามารถในการใช้ภาษาในโลกแห่งความเป็นจริงหรือไม่
BULATS จะใช้สถานการณ์ในการทำงานจริงๆ เพื่อทดสอบความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในโลกธุรกิจของผู้เข้าสอบ
BULATS Test จะทดสอบว่าคุณสามารถใช้ภาษาได้ดีหรือไม่ ไม่ใช่ว่าคุณรู้ภาษามากน้อยเพียงใด
ความน่าเชื่อถือ จะสัมพันธ์กับความแม่นยำในการวัดผล เช่น ผู้เข้าสอบจะได้รับคำถามที่มีอยู่แล้วเหมือนๆกัน แล้ว นำมาถามซ้ำหรือไม่? เราจะหวังว่าผู้สอบจะได้คะแนนเท่ากันในการสอบสองครั้งในข้อสอบชนิดเดียวกัน หรือ ในการสอบกับเครื่องคอมพิวเตอร์ตามมาตรฐานทั่วไป
ความน่าเชื่อถือของข้อสอบ BULATS จะอยู่ที่ 94 % ซึ่งนับว่าสูงมาก ซึ่งมีการนำสูตรความน่าเชื่อถือของ Rasch มาใช้ในการคำนวณ
การสอบด้วยระบบคอมพิวเตอร์ของ BULATS คือข้อสอบที่มีระบบการปรับเปลี่ยนคำถามได้ด้วยตัวเอง และ ระบบถูกรองรับโดยนำวิธีการรักษาความปลอดภัย และ การเข้ารหัสของฐานข้อสอบขนาดใหญ่มาใช้ จะมีคำถามมากกว่า  10,000 ข้อ โดยข้อสอบแต่ละข้อจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และ ผู้เข้าสอบแต่ละคนจะได้คำถามที่ไม่เหมือนกัน
โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะเลือกคำถามข้อต่อไปโดยขึ้นอยู่กับคำตอบก่อนหน้าของผู้เข้าสอบ ผู้เข้าสอบจะได้คำถามที่มีความยากในระดับที่เหมาะสม โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะประเมินความสามารถของผู้เข้าสอบได้แม่นยำกว่าข้อสอบแบบเก่ากับคำถามเดิมๆ
เพื่อนๆ สามารถสมัครสอบด้วยวิธีง่ายผ่านเฟสบุคนะคะ  ตามลิงค์นี้เลยคะ https://www.facebook.com/VantageFB

และเราสามารถนำเงินไปชำระที่สถาบันตอนวันเราไปติวเลยคะ ราคาก็ไม่แพงมากคะ เพื่อนๆ คนไหนกำลังจะไปสอบ นัทยินดีให้คำแนะนำนะคะ

( ทาง Vantage มีการสอบแบบ Ket A2 ด้วยนะคะ จะเริ่มตั้งแต่ 1 กรกฏาคม เป็นต้นไปคะ สามารถติดต่อไปได้คะ )

อ่านให้จบนะจ้ะ. จะได้คำตอบของเส้นทางชีวิต!!!

เขียนโดย Unknown ที่ 19:43 1 ความคิดเห็น


ผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากบ้านของเธอ และได้เห็นชายชราที่มีเคราสีขาว 3 คน นั่งอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านของเธอ เธอไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร เธอพูดกับเขาว่า 'ฉันไม่คิดว่าฉันรู้จักพวกคุณ แต่ท่าทางคุณต้องหิวแน่เลย โปรดเข้ามาในบ้านและทานอะไรซักหน่อยเถอะ'  'สามีของเธออยู่ในบ้านไหม' เขาถาม 'ไม่' เธอตอบ 'เขาออกไปข้างนอก' 'ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็เขาไปข้างในไม่ได้ดอก' เขาตอบ

ในตอนเย็น เมื่อสามีเธอกับมาบ้านเธอเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ' ไปบอกพวกเขาซิ ฉันกลับมาบ้านแล้ว และเชิญเข้ามาในบ้านเถิด ' เธอก็ออกไปและเชิญพวกชายชรานั้นให้เข้ามาในบ้าน ' เราเข้าไปในบ้านพร้อมกันไม่ได้หรอก ' เขาตอบ' ทำไมล่ะ ' เธอถาม ชายชราคนหนึ่งอธิบายว่า ' เขาชื่อ ความมั่งคั่ง ' เขาพูดและชี้ไปยังเพื่อนของเขา และชี้ไปยังอีกคนหนึ่งว่า ' เขาคือ ความสำเร็จ และฉันคือ ความรัก '

เขากล่าวต่อไปว่า' บัดนี้ จงเข้าไปข้างในและปรึกษากับสามีของเธอว่า คนไหนในพวกเราที่คุณต้องการจะให้เข้าไปในบ้านของคุณ ' เธอกลับเขามาข้างในและบอกกับสามีของเธอ สามีของเธอรู้สึกดีใจมาก' วิเศษจริงๆ ' เขากล่าว ' เมื่อ เป็นเช่นนี้ เราจะเชิญ ความมั่งคั่ง เมื่อเขาอยู่กับเรา บ้านของเราจะเต็มไปด้วยความมั่งคั่ง ' ฝ่ายภรรยาไม่เห็นด้วย' ที่รัก ทำไมเราไม่เชิญ ความสำเร็จ ล่ะ '

ขณะนั้นลูกสะใภ้ได้ยินทั้งสองกำลังปรึกษา จากมุมหนึ่งของบ้าน เธอก็เข้ามาและแนะนำว่า ' จะไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าเราเลือก ความรัก บ้านของเราจะเต็มไปด้วยความรักไง ' ' เราฟังสิ่งที่ลูกสะใภ้แนะนำเถอะ 'สามีกล่าวกับภรรยา ' ออกไปข้างนอกและเชิญความรัก เข้ามาเป็นแขกของเราเถอะ ' ภรรยาออกไปและถามชายชราทั้ง 3 ว่า ' ใครคือความรัก โปรดเข้ามา และเป็นแขกของเราเถอะ ' ความรักลุกขึ้นและเดินไปยังบ้าน ชายชราอีก 2 คนก็ลุกขึ้นและตามเขาไป

ด้วยความประหลาดใจ ภรรยาถาม ความมั่งคั่ง และความสำเร็จว่า ' ฉันเชิญเพียงความรัก ทำไมคุณถึงเข้ามาด้วยล่ะ ' ชายชราตอบพร้อมกันว่า ' ถ้าคุณเชิญความมั่งคั่ง หรือ ความสำเร็จ คนใดคนหนึ่ง อีกสองคนก็จะอยู่ข้างนอก แต่เมื่อคุณเชิญความรัก ที่ใดที่เขาไป เราจะไปกับเขา ที่ใดมีความรัก ที่นั่นก็จะมี ความมั่งคั่งและความสำเร็จ '


บอกตรงๆ เลยคะ ตอนแรกที่ยังอ่านไม่จบ นัทรีบเลือกความสำเร็จคะ  แต่พออ่านมันจนจบก็เลยถึงบางอ้อคะ  อยากให้เพื่อนๆ อ่านคะ เพื่อจะได้มีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ดีคะ

Credit : เพื่อนรุ่นน้องเป็นคนแชร์มาทางไลน์คร๊าาา

ขั้นตอนการทำพาสปอร์ตคะ

เขียนโดย Unknown ที่ 19:04 0 ความคิดเห็น

        หนังสือเดินทาง หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกกันว่า Passportเป็นเอกสารสำคัญสำหรับบุคคลที่จะเดินทางไปต่างประเทศโดยในหนังสือเดินทางจะมีการระบุข้อมูล อาทิ ชื่อผู้เดินทาง ลายมือชื่อรูปถ่าย อายุ สัญชาติ ฯลฯเพื่ออำนวยความสะดวกและใช้เป็นหลักฐานในการขอหนังสือลงตราหรือที่เรียกกันว่าวีซ่า (Visa) 

โดยหนังสือเดินทางนั้นมีทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ 
     หนังสือเดินทางฑูต (Diplomatic) เป็นหนังสือเดินทางสำหรับนักการทูต และข้าราชการการเมือง เพื่อใช้เดินทางไปราชการต่างประเทศเท่านั้น มีสีแดงสด 

          หนังสือเดินทางราชการ (Official Passport) เป็นหนังสือเดินทางสำหรับข้าราชการ สำหรับเดินทางไปราชการนั้น ๆ เป็นเล่มสีน้ำเงิน 

          หนังสือเดินทางยกเว้นค่าธรรมเนียม (Gratis)เป็นหนังสือเดินทางสำหรับข้าราชการเกษียณอายุ, พนักงานของรัฐและข้าราชการที่จะเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศโดยทุนส่วนตัวหรือไปฝึกอบรมในหลักสูตรต่างๆ จะป็นเล่มสีน้ำตาล 

          หนังสือเดินทาง (Passport)เป็นหนังสือเดินทางสำหรับประชาชนทั่วไป หรือข้าราชการ และพนักงานของรัฐก็สามารถใช้ในกรณีที่เดินทางไปต่างประเทศด้วยกิจธุระส่วนตัวตัวเล่มจะใช้สีเลือดหมู 

เอกสารที่ต้องใช้ในการทำหนังสือเดินทาง (Passport)

         สำหรับการขอทำหนังสือเดินทางสำหรับประชาชนทั่วไป ที่อายุเกิน 20ปีขึ้นไปแล้ว จะต้องเตรียมเอกสารเพื่อยื่นขอทำหนังสือเดินทาง ดังนี้

           บัตรประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งานหรือ บัตรข้าราชการ หรือบัตรประจำตัวที่ใช้แทนตามกฎกระทรวงมหาดไทยฉบับจริง(ในกรณีที่เป็นบัตรข้าราชการให้นำสำเนาทะเบียนบ้านมาด้วย) 

           หากมีรายการแก้ไขชื่อสกุล หรือวันเดือนปีเกิด ฯลฯ ซึ่งไม่ตรงกับบัตรประชาชนให้นำหลักฐานการแก้ไขที่เกี่ยวข้องมาแสดงด้วย เช่น หลักฐานการเปลี่ยนชื่อ

           การทำหนังสือเดินทางใหม่ ต้องเสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท 

 กรณีที่ผู้ยื่นขอเป็นผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี ก็จะมีรายละเอียดเอกสารที่ต่างออกไป ดังนี้ 

           สูติบัตรฉบับจริง หากเป็นฉบับสำเนาก็ต้องได้รับการรับรองจากเขตหรืออำเภอ 

           บัตรประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งานหรือ บัตรที่ใช้แทนได้ตามกฎกระทรวงมหาดไทย ของบิดา มารดาหรือผู้มีอำนาจปกครองฉบับจริง และหากชื่อ-นามสกุล บิดา มารดาในสูติบัตรไม่ตรงกับบัตรประจำตัวประชาชนให้นำหลักฐานการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล ที่เป็นต้นฉบับมาแสดงด้วยในกรณีที่มารดาหย่าและจดทะเบียนสมรสใหม่และใช้นามสกุลใหม่ตามสามีให้นำหลักฐานการหย่าและการสมรสที่เป็นต้นฉบับมาแสดงด้วย 

           หนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศ และบัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริงของบิดา มารดา ในกรณีที่บิดา/มารดาหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่สามารถมาแสดงตัวได้ 

           เอกสารอื่น ๆ ที่จำเป็น อาทิหลักฐานใบเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล เอกสารหลักฐานการรับรองบุตรหรือรับบุตรบุญธรรม บันทึกการหย่าซึ่งมีข้อความระบุให้บุตรอยู่ในความดูแลของบิดาหรือมารดา เป็นต้น 

           การทำหนังสือเดินทางใหม่ ต้องเสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท 

           ส่วนในกรณีต่าง ๆ เช่น กรณีบิดา มารดา ของผู้เยาว์เสียชีวิต,กรณีที่บิดา มารดาของผู้เยาว์เป็นชาวต่างชาติที่มิได้จดทะเบียนสมรส,กรณีที่ไม่สามารถตามหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาให้ความยินยอมได้,รณีบิดามารดามิได้จดทะเบียนสมรสแต่บุตรอยู่ในความดูแลของบิดาฝ่ายเดียวมาตลอด และไม่สามารถตามหามารดาได้ซึ่งกรณีเหล่านี้ให้นำคำสั่งศาลซึ่งระบุชื่อผู้มีอำนาจปกครองพร้อมบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจปกครองมาแสดงด้วย 

 กรณีหากเป็นผู้เยาว์ที่อายุ 15 ปีขึ้นไป แต่ยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ก็สามารถขอทำหนังสือเดินทางด้วยตัวเองได้โดยใช้เอกสาร ดังนี้ 

           บัตรประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งาน หรือ บัตรประจำตัวที่ใช้แทนตามกฎกระทรวงมหาดไทย 

           หนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศที่ผ่านการรับรองจากอำเภอหรือเขต และบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ปกครองพร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง 

           เอกสารอื่น ๆ ที่จำเป็น อาทิ หลักฐานใบเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุลเอกสารหลักฐานการรับรองบุตรหรือรับบุตรบุญธรรมใบสำคัญการสมรส ทะเบียนสมรสทะเบียนหย่า ทะเบียนบ้าน คำสั่งศาลกรณีระบุผู้มีอำนาจปกครองแทนบิดามารดาเป็นต้น 

           เสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท 


ขั้นตอนการขอหนังสือเดินทาง

           1. รับบัตรคิว

           2.ยื่นบัตรประจำตัวประชาชนที่มีเลข 13 หลัก (หากไม่มีเลข 13 หลักต้องนำสำเนาทะเบียนบ้านมาแสดง) พร้อมเอกสารหลักฐานอื่น ๆ ที่จำเป็นเพื่อตรวจสอบข้อมูล

           3.ในการทำหนังสือเดินทางจะมีการเก็บข้อมูลทางชีวภาพ คือ มีการวัดส่วนสูงเก็บลายพิมพ์นิ้วมือนิ้วชี้ซ้าย และนิ้วชี้ขวาด้วยเครื่องสแกนเนอร์และถ่ายรูปใบหน้า

           4.แจ้งความประสงค์ว่าจะมารับหนังสือเดินทางด้วยตัวเอง หรือต้องการขอรับเล่มทางไปรษณีย์

           5.ชำระค่าธรรมเนียมการทำหนังสือเดินทาง 1,000 บาทหากต้องการให้จัดส่งทางไปรษณีย์ จะต้องชำระค่าส่งไปรษณีย์ เพิ่มเติมอีก 35บาท จากนั้นรับใบเสร็จรับเงิน และรับใบนัดรับเล่ม  

เมื่อไหร่จะได้รับหนังสือเดินทาง
           กรณียื่นขอทำหนังสือเดินทางที่กรมการกงสุล หรือสำนักงานสาขาในกรุงเทพฯคือที่ปิ่นเกล้า และบางนา จะสามารถรับหนังสือเดินทางได้ภายใน 2วันทำการไม่นับวันยื่นคำร้อง และหากรับทางไปรษณีย์จะได้รับใน 5 วันทำการ(ไม่รวมวันเสาร์-อาทิตย์)
           กรณียื่นคำร้องที่สำนักงานสาขาในต่างจังหวัดหนังสือเดินทางจะจัดส่งให้ทางไปรษณีย์เท่านั้น โดยจะได้รับหนังสือเดินทางภายใน 5 วันทำการ ไม่นับวันยื่นคำร้องและวันเสาร์-อาทิตย์


หลักฐานที่ใช้ประกอบการรับหนังสือเดินทาง

          กรณีรับด้วยตัวเอง
           1.บัตรประชาชนตัวจริงของผู้รับ
           2.ใบรับหนังสือเดินทาง

          กรณีมอบหมายให้ผู้อื่นมารับแทน
           1.บัตรประชาชนตัวจริงของผู้ถือหนังสือเดินทาง
           2.บัตรประชาชนตัวจริงของผู้รับแทน
           3.ใบรับหนังสือเดินทางที่ลงนามมอบอำนาจแล้ว

วันเวลา และสถานที่ที่สามารถติดต่อทำหนังสือเดินทางได้ 

กรมการกงสุล 

          123 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 
          โทรศัพท์ 0-2981-7171-99 , 0-2981-7257-8 
          โทรสาร 0-2981-7256 
          วันจันทร์-ศุกร์ 08.00-15.30 น. 

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ปิ่นเกล้า 

          อาคารธนาลงกรณ์ทาวเวอร์ (ชั้นใต้ดิน) แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กทม.10700 
          โทรศัพท์ 0-2446-8111-2 โทรสาร 0-24468118-9 
          วันจันทร์-ศุกร์ 08.30-15.30 น. 

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว บางนา 

          ศูนย์การค้าเซ็ลทรัลซิตี้ บางนา บริเวณลานจอดรถ ชั้น P9 
          โทรศัพท์ 0-2383-8401-3 โทรสาร 0-2383-8398 
          วันจันทร์-ศุกร์ 08.30-15.30 น. 

สำนักงานหนังสือเดินทาง ศูนย์บริการการไปทำงานต่างประเทศ

          อาคารประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ดินแดง กทม.
          โทรศัพท์ 0-2245-9439 โทรสาร 0-2245-9438   

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดขอนแก่น 

          ศูนย์ราชการจังหวัดขอนแก่น ถนนศูนย์ราชการ จังหวัดขอนแก่น 
          โทรศัพท์ 0-4324-2707,0-4324-3462,0-4324-2655 
          โทรสาร 0-4324-3441  

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดเชียงใหม่ 

          ศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ ถนนโชตนา ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 
        โทรศัพท์ 0-5389-1535-6 โทรสาร 0-5389-1534 

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดสงขลา 

          ศาลากลางจังหวัดสงขลา (หลังเก่า) ชั้น 1 ถนนราชดำเนิน อ.เมือง จ.สงขลา 9000 
        โทรศัพท์ 0-7432-6510-1 โทรสาร 0-7432-6506 

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดอุบลราชธานี 

          อาคารสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัด 
          โทรศัพท์ 0-4524-2313-4 โทรสาร 0-4524-2301 

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดสุราษฎร์ธานี
          ศาลาประชาคม ถนนหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี 84000
          โทรศัพท์ 077-274940, 077-274942-3 โทรสาร 077-274941

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดนครราชสีมา

          ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ถนนมหาดไทย อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา 30000
          โทรศัพท์ 044-243-132, 044-243-124 โทรสาร 044-243-133

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดอุดรธานี

          ศูนย์อเนกประสงค์ ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี (ตรงข้ามกับศาลหลักเมือง) ถนนอธิบดี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี 41000 
          โทรศัพท์ 042-212827, 042-212-318 โทรสาร 042-222-810

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดพิษณุโลก

          ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก ถนนเทพารักษ์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก 65000
          โทรศัพท์ 055-258-173, 055-258-155, 055-258-131, โทรสาร 055-258-117
     
สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดยะลา

          ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ถนนสุขยางค์ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา 95000
          โทรศัพท์ 073-274-526, 073-274-036, 073-274-037 โทรสาร 073-274-527

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดภูเก็ต

          ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ถนนนริศร อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต 83000
          โทรศัพท์ 076-222-080, 076-222-081, 076-222-083 โทรสาร 076-222-082 

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว เมืองพัทยา

          ศูนย์การค้า ดิ อเวนิว ชั้น 1 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี 20150
          โทรศัพท์ 038-422437 โทรสาร 038-422438

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดนครสวรรค์

          ศูนย์บริการร่วมจังหวัดนครสวรรค์ ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ถนนพหลโยธิน อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ 60000
          โทรศัพท์ 056-233-453, 056-233-454 โทรสาร 056-233-452 

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดจันทบุรี

          อาคารลานค้าชุมชน ถ.เลียบเนิน ต.วัดใหม่ อ.เมือง จ.จันทบุรี 22000
          โทรศัพท์ 039-301-706-9

Credit : Travel Kapook  

 

Nuttanan.Blogger Copyright © 2012 Design by Antonia Sundrani Vinte e poucos